image cover
เกิดใหม่ครั้งนี้ฉันเป็นเจ๊ใหญ่ (มีอีบุ๊ค)
ใครจะคิดว่าการตอบตกลงย้ายเข้ามาอยู่ในร่างใหม่จะทำให้เธอต้องมาข้องเกี่ยวกับการเป็นสายลับ
ยอดวิว
567
จำนวนตอน
49
ความคิดเห็น
0

รายละเอียด

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1611 ได้มีครอบครัวหนึ่งถูกไล่ล่าจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันอย่างโหดร้าย ข้อหาที่พวกเขาตามล่าครอบครัวนี้เป็นเพราะคิดว่าครอบครัวนี้เป็นแม่มด

            ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวนี้ต่างเป็นคนดีและให้ความช่วยเหลือทุกคนในหมู่บ้านรวมถึงผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลายากลำบากมาโดยตลอด            “ฮือ ๆ ท่านแม่ ทำไมพวกเขาจะต้องทำกับเราแบบนี้ด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยกอดเอวมารดาของตนเอาไว้แน่นกล่าวทั้งน้ำตาคลอหน่วย            “เอริ ฟังแม่นะ ลูกจงอยู่แต่ในห้องนี้ อีกไม่นานแม่กับพ่อรวมถึงพี่ชายของลูกจะกลับมาจำไว้นะปิดปากของตัวเองให้แน่น ห้ามส่งเสียงร้องอย่างเด็ดขาด” หญิงสาวผมยาวหยักโศกสีน้ำตาลอ่อนปลอบโยนลูกสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล            “แม่พูดจริงนะคะ แม่กับทุกคนจะต้องกลับมาหาหนู” เด็กหญิงผู้อยู่ในวัยสิบสามปีถามเสียงสะอื้น            “แม่ไม่เคยผิดสัญญากับลูกใช่ไหมจ๊ะ” ในขณะที่คนเป็นแม่พูดอยู่นั้น เสียงจากการต่อสู้ด้านนอกก็เริ่มใกล้เข้ามา            “เอริ!! รีบเข้าไป” ผู้เป็นแม่รีบหมุนตัวของเด็กหญิงก่อนที่เธอจะดันแผ่นหลังบางของบุตรตรีอันเป็นที่รักทั้งน้ำตา            และยังไม่ทันที่เด็กหญิงจะได้เอื้อนเอ่ยอะไร ประตูบานใหญ่ก็ปิดลง            “ในนามแห่งข้าผู้สืบทอดเชื้อสายมาจากท่านผู้เป็นดั่งผู้นำของพวกเรา บัดนี้ข้าขอเอ่ยวาจาแห่งคำภีร์ต้องห้ามโดยใช้เลือดจากมือของข้านี้เป็นเครื่องสังเวย            จุดประสงค์ของข้าคือการวิงวอนร้องขอ ขอให้บุตรสาวอันเป็นที่รักของพวกเราอีกทั้งนางยังเป็นผู้สืบทอดแห่งท่านคนสุดท้ายจงปลอดภัย” จบถ้อยคำนี้ประตูบานใหญ่ก็เปล่งแสงประกายสีขาวจนสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ            แสงสีขาวนี้แทนที่จะอบอุ่นทว่ากลับร้อนแรงยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์อันร้อนระอุจึงทำให้ผู้ที่อยู่ด้านหลังประตูทั้งหมดถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลีดินปลิวไปตามลม            “เฮือก! ฝันร้ายอีกแล้ว ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้ว เอริคือใครทำไมฉันถึงต้องร้องไห้ทุกครั้งตลอดเลย” เด็กหญิงวัยไม่เกินสิบห้าปีพึมพำ            “เสี่ยวเฉา เธอตื่นแล้วเหรอ ยังไม่เช้าเลยทำไมถึงไม่นอนต่อล่ะ” เด็กหญิงวัยไม่ห่างจากกันมากนักในบ้านเด็กกำพร้าถามขึ้นเมื่อเปิดเปลือกตาของตนแล้วเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องนั่งห้อยขาลงข้างเตียง            “ขอโทษที่ทำให้ตื่น เธอนอนต่อเถอะ ฉันจะไปทำงานแล้ว” เจ้าของชื่อพูดพลางวางเท้าลงบนพื้นกระเบื้องอันเย็นเยียบ            ท้องฟ้าด้านนอกเรือนนอนในขณะนี้ยังคงมืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟให้ความสว่างอยู่เพียงไม่กี่ดวง            เด็กหญิงเดินทอดน่องไปทางอาคารหลังหนึ่งที่มีป้ายเหนือบานประตูเขียนไว้ว่าโรงครัว            “ป้าหม่าคะ หนูมาช่วย”            “เสี่ยวเฉา ทำไมหนูตื่นเช้าจัง ไม่นอนต่ออีกสักหน่อยเป็นเด็กควรนอนให้มากเข้าไว้” หญิงร่างทวมใบหน้าอวบอูมพูดขึ้นอย่างเอ็นดู            “ป้าหม่าคะ หากฉันนอนตื่นสายกว่านี้ เดี๋ยวก็ไม่ได้เคล็ดลับความอร่อยจากป้ากันพอดีฉันยังเรียนรู้มาไม่หมดเลย”            “เธอนี่นับวันยิ่งปากหวาน เอาละในเมื่อตื่นแล้วก็มาช่วยป้าเตรียมทำอาหารเถอะ วันนี้ป้าจะทำโจ๊กปลา”            “ได้เลยค่ะ” เด็กหญิงรีบพับแขนเสื้อตัวยาวของตน            “ป้ามีมันเผาอยู่ตรงนั้น เธอกินก่อนสิ จะได้มีแรง” ผู้สูงวัยกว่าพยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะตัวหนึ่งที่มีถุงมันเผาอยู่ด้านใน            “ป้ากินหรือยังคะ” เสี่ยวเฉามักถามออกไปเช่นนี้ทุกครั้ง            “กินแล้วจ้ะ เธอรีบกินเถอะ หากใครมาเห็นเขาจะหาว่าป้าลำเอียง” หญิงแซ่หม่าพูดด้วยรอยยิ้ม            “ขอบคุณค่ะป้า ถ้าเมื่อไหร่ฉันโตขึ้นและไปจากที่นี่ได้ ถึงตอนนั้นฉันจะมารับป้าไปอยู่ด้วยกันนะคะ” เด็กหญิงพูดไปด้วยใบหน้ามีความสุขหลังจากกัดมันเผาที่ยังคงมีไอความร้อนหลงเหลือ            “ป้าจะรอนะ เสี่ยวเฉาของเราเป็นเด็กดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันที่มีคนใจดีมารับหนูไปอยู่ด้วยก็ได้” ผู้พูดกล่าวอวยพรในระหว่างซอยขิงเพื่อใช้โรยหน้าโจ๊กหม้อใหญ่            “ป้าอยากให้หนูไปจริง ๆ เหรอคะ หากว่าหนูไปแล้วใครจะมาช่วยป้าทำกับข้าวล่ะ ทุกวันนี้ป้าต้องตื่นตั้งแต่เช้า นอนก็ดึกกว่าพวกเราอีก” น้ำเสียงของคนพูดฟังดูหดหู่            “หากว่าหนูจะมีอนาคตที่ดี ป้าก็ยินดีให้หนูจากไปจ้ะ ส่วนเรื่องงานที่นี่แม้ว่ามันจะเหนื่อยหรือว่าหนัก แต่ก็ยังคงเป็นงานที่ป้ารัก เมื่อไหร่ที่หนูมีเวลาก็แค่มาเยี่ยมป้าบ้างก็พอ” หญิงสูงวัยล้างมือก่อนที่จะวางมืออันแสนอบอุ่นลงบนศีรษะของคนตัวเล็ก            “ขอบคุณค่ะป้าหม่า หากมีวันนั้นจริงหนูจะไม่ลืมป้าอย่างแน่นอน” เด็กหญิงนำมือของตนวางซ้อนทับกับมือของหญิงวัยกลางคนเอ่ยจากหัวใจ            ช่วงสายของวันเดียวกัน ในวันนี้มีครอบครัวหนึ่งเป็นเศรษฐีมาจากในเมือง ครอบครัวนี้แม้ว่าจะมีลูกถึงสองคนแล้วก็ตามแต่เนื่องจากลูกสาวลูกชายต่างก็อายุมาก            อีกทั้งยังไปอยู่ต่างเมือง ดังนั้นพวกเขาจึงได้มายังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เพื่อหวังจะได้ลูกสาวคนเล็ก            “คุณคะ พวกเราไปมาตั้งหลายที่ฉันก็ยังไม่เจอเด็กคนนั้นเลย และในเมืองแห่งนี้ก็เป็นสถานที่สุดท้ายแล้วด้วย” คนเป็นภรรยาพูดขึ้นอย่างร้อนใจ            “ที่รัก หากว่าความฝันของคุณเป็นจริงยังไงซะเราก็ต้องเจอกับเด็กคนนั้นอย่างแน่นอนผมมั่นใจ”            “แต่...ถ้าหากไม่เจอล่ะคะ” แม้หญิงสาวคนนี้จะมีอายุอยู่ในช่วงวัยกลางคนทว่าทั้งรูปร่างและหน้าตาของเธอก็ยังคงดูงดงาม            “หากไม่เจอก็คิดว่าพวกเราไร้วาสนาดีไหมครับ อีกอย่างนี่มันปีอะไรแล้วที่เราจะมาเชื่อเรื่องเร้นลับแบบนั้น” คนเป็นสามีพูดขึ้นด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติหาได้หวาดวิตกใด ๆ ไม่            “แต่คุณคะ ในฝันนั้นย้ำหนักหนาว่าหากพวกเราไม่เจอเด็กคนนั้นภายในปีนี้ครอบครัวของเราจะประสบกับหายนะอันใหญ่หลวง มันจะไม่เป็นไรจริงเหรอ” น้ำเสียงของผู้เป็นภรรยายังคงลังเล            ในขณะที่สามีกำลังจะเอ่ยปากปลอบภรรยาของตนอีกครั้งก็พอดีกับเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน            “ขอโทษนะคะ ที่ปล่อยให้พวกคุณรอนาน ฉันพาเด็กตามลักษณะที่คุณทั้งสองต้องการมาแล้วค่ะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าสถานที่แห่งนี้พูดขึ้นก่อนที่จะมีร่างผอมบางของเด็กหญิงคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากทางด้านหลัง            “ใช่เธอนี่แหละค่ะ คุณคะฉันเจอแล้ว เด็กคนนี้แหละ” น้ำเสียงอันตื่นเต้นของคนตรงหน้าทำให้เสี่ยวเฉามองเธอด้วยความประหลาดใจ            “ใจเย็นครับที่รัก” ผู้เป็นสามีนำมือของเธอมาลูบเพื่อปลอบประโลม “ฉันว่า คุณผู้ชายกับคุณนายลองสนทนากับเธอดูก่อนไหมคะ”            “ได้ค่ะ” น้ำเสียงของคุณนายตระกูลหยางยังคงสั่นอย่างเห็นได้ชัด จนสามีต้องให้เธอสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ            “หนูน้อยเธอชื่ออะไรจ๊ะ อายุเท่าไหร่” น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนผู้นี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ช่างคล้ายกับความฝันไม่มีผิด            จึงทำให้เสี่ยวเฉาน้ำตาคลอหน่วยอย่างไม่รู้ตัว “แม่” ถ้อยคำนี้แม้จะแผ่วเบา กระนั้นคุณนายหยางก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน            “เสี่ยวเฉา นี่คือชื่อของหนูใช่ไหมจ๊ะ” คำถามอันอ่อนโยนของหญิงสูงวัยกว่าทำให้เสี่ยวเฉามองหล่อนอย่างประหลาดใจ            “คุณรู้หรือคะ” เด็กหญิงย้อนถามด้วยความงุนงงทั้ง ๆ ที่ดวงตายังคงฉ่ำน้ำ            “ใช่จ้ะ หนูอาจจะไม่เชื่อแต่ฉันเคยฝันถึงหนูและฝันถึงมานานมากแล้ว”            ทั้งห้องตกอยู่ภายในความเงียบหลังประโยคนี้ของคุณนายผู้มีอำนาจและเงินทองเป็นหนึ่งในสามของเมืองจบลง            “ที่รัก เสี่ยวเฉาตกใจหมดแล้ว คืออย่างนี้นะหนูน้อย เธออาจจะไม่เชื่อแต่ฉันจะเล่าให้เธอฟัง เรื่องมันเป็นอย่างนี้ภรรยาของฉันฝันว่าตนเองได้ทำลูกหายไปและในความฝันนั้นก็ปรากฏว่าเป็นใบหน้าของเธอรวมถึงชื่อที่มีคนเรียก ดังนั้นเธอก็เลยดีใจมากไปหน่อยจึงได้บอกหนูแบบนั้น”            “ถ้าอย่างนี้คุณก็หมายความว่าหนูอาจจะเป็นลูกสาวของคุณอย่างนั้นเหรอคะ”            “ใช่จ้ะ แต่ถึงจะใช่หรือไม่พวกเราก็ตั้งใจที่จะรับหนูไปเลี้ยงหากว่าหนูเต็มใจและต้องการให้เราเป็นพ่อแม่” คำตอบของชายวัยกลางคนทำให้เด็กหญิงนิ่งตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่            “หากว่าหนูไปกับพวกคุณ หนูยังจะได้เรียนหนังสืออยู่ไหมคะ” คำถามของเธอทำให้ผู้ใหญ่ภายในห้องยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู            “ได้เรียนสิจ๊ะ ไม่ว่าหนูอยากจะเรียนอะไร จะต้องการเรียนถึงไหนฉันยินดีจะส่งหนูให้ถึงที่สุด” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นคุณนายตระกูลอันมั่งคั่งตอบรับเสียงหนัก            “ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปอยู่กับพวกคุณค่ะ”            เมื่อเด็กหญิงพูดออกมาแบบนี้ คู่สามีภรรยาจึงได้ยิ้มให้กันอย่างดีใจระคนโล่งอก อีกทั้งเด็กหญิงตรงหน้าก็ดูเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อย            “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้หนูก็เรียกพวกเราว่าพ่อแม่เถอะ เมื่อกลับถึงบ้านแม่จะแนะนำให้หนูได้รู้จักกับพี่ชายพี่สาว” คุณนายตระกูลหยางจับมือเด็กหญิงอย่างสนิทสนม            “หนูมีพี่ด้วยเหรอคะ” ดวงตาของเธอเปล่งประกาย            “ใช่จ้ะ แต่พี่ของหนูเขาทำงานอยู่ต่างเมืองกว่าจะได้เจอกันสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไม่เป็นไรเพราะพวกเขาเองก็ตื่นเต้นที่จะมีน้องสาวเหมือนกัน โดยเฉพาะพี่สาวของหนูเธอบอกว่าจะตัดชุดให้หนูเองเป็นพิเศษเชียวละ” ใบหน้าของผู้พูดเต็มไปด้วยรอยยิ้ม            สิบสองปีต่อมา ในวันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุยี่สิบห้าปีของเสี่ยวเฉา จากเด็กกำพร้าในวันวาน            ตอนนี้เธอได้เติบโตเป็นสาวงามอีกทั้งยังเก่งกาจหากเป็นยุคโบราณก็คงจะต้องพูดว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊            ทั้งนี้เป็นเพราะพี่ชายของเธอนั้นเป็นห่วงน้องสาวคนเล็กและน้องสาวคนนี้เป็นคนเรียนรู้เร็วรวมถึงยังไม่เหมือนกับหญิงสาวผู้ร่ำรวยคนอื่น ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้ให้น้องเรียนศิลปะป้องกันตัวทุกแขนงและอาวุธทุกประเภทเมื่อยิ่งเรียนพรสวรรค์ก็ยิ่งปรากฏ            ดังนั้นภายในห้องใหญ่ของคฤหาสน์จึงเต็มไปด้วยถ้วยรางวัลของเสี่ยวเฉาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบัน            ส่วนคนเป็นพี่สาวเองก็รู้สึกพอใจเช่นกันที่น้องสาวของตนเก่งกาจด้านแฟชั่นไม่แพ้ตัวเอง ไม่เพียงแค่พวกพี่เท่านั้นที่รู้สึกภาคภูมิใจในตัวคนเป็นน้อง เพราะแม้แต่ความสามารถของพ่อแม่คุณหนูเล็กตระกูลหยางก็สืบทอดมาจนหมดสิ้น ทั้งทางด้านดนตรีและหัวทางธุรกิจ            แต่แล้วครอบครัวอันอบอุ่นก็ถึงคราวประสบเคราะห์กรรม “แม่คะ พ่อคะ อย่าเพิ่งเดินทางตอนนี้เลยนะคะ ฉันเป็นห่วง” เสี่ยวเฉาพูดขึ้นในขณะใกล้วันเกิดของตน            “ลูกคิดถึงพวกเราเหรอจ๊ะ” คนเป็นแม่ลูบผมยาวของบุตรสาวเอ่ยอย่างรักใคร่            “ใช่ค่ะ หนูรู้สึกยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก เอาไว้ปีหน้าค่อยไปนะคะ ถึงเวลานั้นหนูจะไปด้วย” เธอยังคงอ้อนออดมารดาอยู่เช่นเดิม            “ไม่ได้นะสิลูก พ่อนัดกับเพื่อนทางนั้นเอาไว้แล้วและที่สำคัญเรานัดคุยเรื่องงานกันด้วยหากว่าไม่ไปเราคงต้องสูญเสียเงินหลายสิบล้านทีเดียว” คำตอบของคนเป็นพ่อทำให้เสี่ยวเฉาได้แต่ทอดถอนใจ            “คุณพ่อคะ เงินของเราก็มีมากแล้วนะคะทำไมพ่อต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยอีก” น้ำเสียงอ่อนใจของคนเป็นลูกทำให้ชายวัยชรายกยิ้มอย่างเอ็นดู            “พ่อทำงานมาตั้งแต่เด็ก หนูจะให้พ่ออยู่เฉย ๆ ไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าหลังจากการเดินทางครั้งนี้พ่อกับแม่จะอยู่เฉย ๆ ให้หนูเลี้ยงดีไหม”            “พ่อพูดแล้วนะคะ มาเกี่ยวก้อยสัญญากัน” ผู้เป็นบิดายอมยกนิ้วเกี่ยวก้อยสัญญากับลูกสาวแต่โดยดี            ยิ่งใกล้วันเดินทางของคนทั้งคู่ จิตใจของเสี่ยวเฉาก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน แต่เธอไม่รู้ว่าจะห้ามคนทั้งสองได้ยังไงจึงได้แต่ภาวนาขอให้พ่อแม่ปลอดภัย            “ลูกรักวันนี้วันเกิดหนูนะจ๊ะ ยิ้มแย้มหน่อยพ่อกับแม่มีของขวัญให้ด้วยนะ”            “ของขวัญที่ดีสำหรับหนูก็คือขอให้พวกเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทุกปีก็พอค่ะ รวมถึงพี่ชาย พี่สะใภ้ พี่สาว พี่เขย หลาน ๆ และป้าหม่าด้วย” คำพูดของหญิงสาวได้เรียกรอยยิ้มให้กับทุกคน            “เอาเถอะ เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแน่นอน” พ่อผู้ชราพูดขึ้นโดยที่ไม่รู้ว่าอีกสองวันต่อมาเครื่องบินที่ตนกับภรรยานั่งจะเกิดเหตุร้าย            หลังจากจัดการเรื่องงานศพของพวกเขาได้ครึ่งปี ป้าหม่าผู้มีโรคประจำตัวก็เกิดป่วยเพราะอาการกำเริบ            “เสี่ยวเฉาของเราโตแล้วอีกทั้งยังเป็นเด็กดี ป้าไม่เสียใจเลยที่ได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ หากว่าไม่มีป้าอยู่แล้ว หนูสัญญากับป้านะว่าจะใช้ชีวิตของตนให้ดี จงใช้ชีวิตให้มีความสุข”            น้ำตาของเสี่ยวเฉาหลั่งไหลราวทำนบแตก “ป้าหม่าต้องอยู่กับหนูด้วยสิคะ อย่าพูดแบบนี้ พ่อแม่ก็จากหนูไปแล้วป้าอย่าทิ้งหนูไปอีกคนเลยนะ” หญิงสาวกุมมือของหญิงวัยชราเอาไว้แน่นเอ่ยเสียงสะอื้น            “น้องสาว อย่าทำแบบนี้ไม่อย่างนั้นป้าหม่าจะไปไม่สงบนะ” คนเป็นพี่ชายปลอบพลางนำมือบีบหัวไหล่ของหล่อนเพื่อให้กำลังใจ            เสี่ยวเฉาเงยหน้ามองคนพูดก่อนจะหักห้ามความรู้สึกแล้วหันมาพูดกับหญิงชราด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตาอีกครั้ง            “ป้าหม่าคะ ฉันขอโทษ ฉะ..ฉันจะให้สัญญากับป้าค่ะ” หญิงวัยชราแย้มยิ้มอย่างเป็นสุข จากนั้นอีกสามวันต่อมาดวงตาของป้าหม่าก็ปิดลงตลอดกาล            ภาพเดิม เหตุการณ์เดิม ในวันที่เพิ่งจัดการงานศพของพ่อแม่วนกลับมาอีกครั้ง นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเสี่ยวเฉาก็ใช้ชีวิตตามที่ให้สัญญากับป้าหม่า แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกเศร้าหมอง            ทว่าในยามที่พบเจอหน้ากับญาติผู้พี่ที่เหลืออยู่ เธอก็จะยิ้มแย้มราวกับว่าตนสบายดี เพียงแต่เธอไม่คิดจะคบใครเท่านั้นเองจึงทำให้พี่ชายพี่สาวค่อนข้างเป็นห่วง            และแล้วความสูญเสียก็กำลังจะเกิดขึ้นกับเธออีกครั้งเมื่อครอบครัวของพี่ชายติดโรคระบาดที่ยังไม่มียารักษา            “ไม่จริงใช่ไหมคะ ทำไมพวกเราจะต้องเจออะไรแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย” เสี่ยวเฉาฟูมฟายร้องไห้ราวคนเสียสติ            “น้องเล็กใจเย็น ๆ นะ พี่เชื่อว่าหมอจะต้องหาวิธีรักษาโรคนี้ได้แน่” คนเป็นพี่สาวกอดน้องพร้อมพูดปลอบซึ่งก็เป็นการปลอบตนเองด้วยเช่นกัน            ในค่ำคืนวันเดียวกันนั้น เสี่ยวเฉาร้องไห้จนหลับไป เจ้าอยากช่วยพวกเขาไหมล่ะ เสียงในความฝันเป็นเสียงแหบพร่าของหญิงชราที่เธอไม่เคยได้ยิน            “อยากค่ะ คุณช่วยพวกเขาได้ไหม ฉันยินยอมแลกกับทุกอย่าง”         “แน่ใจนะ เพราะชีวิตต้องแลกด้วยชีวิตและนี่มีถึงสี่ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ” น้ำเสียงแหบพร่านั้นย้อนถามขึ้นอีกครั้ง            “ฉันยินดีค่ะ คุณเอาชีวิตของฉันไปได้เลย”          “ชีวิตของเจ้าไม่มีประโยชน์สำหรับเรา แต่มีประโยชน์กับคนอื่น หากเจ้าบอกเช่นนี้เราจะส่งเจ้าไปที่นั่น เราหวังว่าคำสาปที่ติดตามเจ้ามานานจะหายไป”            ประโยคหลังแม้ว่าจะแผ่วเบากระนั้นเสี่ยวเฉาก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน “คุณหมายความว่ายังไงคะ คำสาปอะไร”          “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง เราต้องไปแล้ว เจ้าเองก็ควรเตรียมตัวเอาไว้ด้วย สถานที่แห่งนั้นเป็นยุคแห่งความวุ่นวายเจ้าควรเตรียมสิ่งของเอาไว้ให้มากโดยเฉพาะสิ่งของที่เกี่ยวกับปัจจัยของการดำเนินชีวิต วิธีเก็บเจ้าก็แค่เอ่ยคำว่าเก็บของเหล่านั้นจะหายไป เจ้ามีเวลาทั้งหมดคือแค่เช้าวันพรุ่งนี้จนถึงเที่ยงคืน ส่วนเรื่องของพี่ชายเจ้าเขากับครอบครัวจะหายดีในไม่ช้า" หลังจากคำพูดอันยืดยาวนี้จบลงเสี่ยวเฉาก็ลืมตาตื่น            ยังไม่ทันที่เธอจะคิดถึงความฝันเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องสวยก็ดังขึ้นเสียก่อน

            “น้องเล็ก พี่ชายใหญ่ พี่สะใภ้กับเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง อาการดีขึ้นแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นโรคระบาดหมอตรวจผิดไป ทั้งนี้เป็นเพราะอาการมันคล้ายกัน” น้ำเสียงของคนในสายเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี 

...อ่านเพิ่มเติม
เฟยเทียน

รีวิวผู้อ่าน

0 รีวิว
จัดเรียงตาม
    
กำลังโหลด...
qr-app

อ่านบนแอปฯ Fictionlog

ดาวน์โหลดแอปฯ เพื่อการอ่านที่ดียิ่งขึ้น

สารบัญ

49 ตอน
เพิ่มตอนล่าสุด 31 ส.ค. 2024
กำลังโหลด...

เผยแพร่โดย

12
เรื่อง
38
ผู้ติดตาม