รายละเอียด
ฟีโดรา มัลดินี จอมเวทของทางการแห่งกองกำลังพิเศษ SPEAR ได้รับภารกิจอันตรายจากเอริค เลสเตอร์ ผู้บัญชาการและเพื่อนสนิทของเขา ให้ทำงานร่วมกับสองจอมเวทสาวมิเนอร์วาและวิเนอรีในการทำภารกิจอันตราย ที่โรงแรมรอยัลคาเมนีแห่งนั้นเขาได้เผชิญหน้ากับเดเมียน ชายผู้ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ภารกิจทวงแค้นที่มีโลกทั้งใบเป็นเดิมพันจึงเริ่มต้น
ไทม์ไลน์เรื่องสั้น เนื้อหาหลังบทนำ
Sorcerer & Spy
Short Story Destiny
เมืองคอลลินส์ ฤดูร้อน 5.00 PM
แสงอัศดงทอประกายเหนือหมู่เมฆบนท้องนภา
ร่างของบุรุษผู้สวมใส่ด้วยอาภรณ์สีรัตติกาลแบบมีฮูทคลุมศีรษะ ตกแต่งลวดลายสีแดงตามข้อมือทั้งสอง คือเจ้าของเรือนยาวสีเงิน ยืนเหนือเนินเขาเต็มไปด้วยแมกไม้เหมาะสำหรับการพรางตัว
นัยน์ตาสองสีคมกริบดั่งนกอินทรีมองผ่านสโคปของกล้องดิจิตอลถูกถือด้วยมือซ้าย
จากสายตามองไปยังอีกฟากฝั่งบนเนินเขาอีกลูก เห็นรถสปอร์ตสีดันคันงามพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วบนทางคดเคี้ยว เบื้องหลังนั้นคือยานพาหนะสองคันวิ่งตะบึงไล่ตามมา
บนรถหรูปรากฏร่างของชายในชุดสูทสองคน หยิบเอาศาสตราเวทขึ้นมายิงอนุภาคมนตราปะทะกับศัตรู
พวกเขาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดคอยปกป้องสาวน้อยทั้งสองนอนอกสั่นขวัญแขวนอยู่เบาะหลัง
เจ้าของนัยน์ตาสองสีเลื่อนสโคปมองเบื้องล่าง เห็นรถสองคันจอดขวางปิดกั้นเส้นทาง ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งถืออาวุธเวทยืนคุมอยู่ไม่ห่างกันนัก
จากตำแหน่งของบุรุษนัยน์ตาสองสียืนอยู่ทำให้เห็นทิวทัศน์อีกฟากฝั่งอย่างชัดเจน
“เจอตัวพวกมันแล้วจัดการเลยไหม” บุรุษเรือนเงินติดต่อหาพรรคพวกด้วยเครื่องมือสื่อสาร
“รอก่อนฟีโดรา ฉันอยากรู้ว่าพวกมันจะพาพวกเธอไปไหน” ปลายสายส่งเสียงเยือกเย็นตอบกลับ
“เค”
ฟีโดรา มัลดินี เป็น ‘จอมเวทของทางการ’ จากกองกำลังพิเศษ SPEAR หรือ Solitary Peace of Embattle Reinforcement ให้ตามสืบคดีเกี่ยวกับการหายตัวไปของเด็กสาวร้อยกว่าคนทั่วโลก
เจ้าของนัยน์ตาสองสีได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า องค์กรอาชญากรรมนั้นวางแผนลักพาตัวสองบุตรีแห่งตระกูลครอมเวลล์ในเมืองคอลลินส์แห่งนี้ จึงไล่ตามมาสังเกตการณ์ถึงสถานที่เกิดเหตุ
แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าองค์กรเหล่านั้นจะใช้แผนลักพาตัวอุกอาจขนาดนี้ แต่นับเป็นเรื่องดีที่พวกมันทำให้เขาตามล่าตัวได้ง่ายขึ้น
เสียงกัมปนาถแห่งการสิ้นสุดการต่อสู้ดังขึ้นจากบนเนินเขาอีกฝั่ง รถสปอร์ตสีดำเสียหลักพลิกคว่ำข้างทาง
“พวกมันได้ตัวพวกเธอแล้ว” เจ้าของนัยน์ตาสองสีรายงานสถานการณ์ล่าสุดให้พรรคพวกทราบ
“ตามพวกมันไปได้เลย” สิ้นเสียงสั่งการจากอีกฝ่าย บุรุษเรือนเงินก็เก็บเครื่องมือสื่อสาร
สายตาคมกริบมองความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายบนเนินเขาอีกฝั่ง
บนดาวอันมีนามว่าไกอาแห่งนี้ มนุษย์ได้ค้นพบศิลาเวทเมื่อพันปีก่อน มันได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นผลึกมนตราเพื่อใช้ในการทำงานร่วมกับอาวุธประเภทต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน
การใช้เวทมนตร์นั้นประกอบด้วยสามส่วน
ผู้ใช้หรือก็คือจอมเวท
สื่อกลาง คือผลึกมนตราซึ่งเป็นแหล่งบรรจุพลังงานของศาสตราเวท
สุดท้ายพลังเวทของตัวผู้ใช้
จอมเวทไม่สามารถใช้พลังงานเวทมนตร์ได้ด้วยตนเองเพียงอย่างเดียว ต้องใช้สื่อกลางเป็นผลึกมนตรา
ซึ่งผลึกเวทเป็นสิ่งที่ใช้แล้วพลังงานจะหมดไป
ยิ่งใช้พลังงานเวทมนตร์อันทรงพลังมากยิ่งเสื่อมสภาพเร็ว
จึงทำให้ใครก็ตามมีผลึกมนตราสามารถใช้เวทมนตร์ได้
สภาเวทมนตร์โลกและสหพันธ์รัฐบาลโลกเป็นผู้กำหนดสนธิสัญญาต่างๆ ในการผลิตคริสตัลมนตรา และเป็นผู้ควบคุมกฎหมายนี้แต่เพียงผู้เดียว
บุคคลธรรมดาสามารถใช้คริสตัลมนตราก็ทำได้ คริสตัลเวทมนตร์ที่ทางรัฐบาลอนุมัติให้คนทั่วไปใช้ได้นั้นเป็นเพียงคริสตัลระดับพื้นฐาน
พลังเวทที่ทรงพลังนั้นจำเป็นต้องใช้คริสตัลมนตราระดับสูง
ทำให้มีเพียง ‘จอมเวทของทางการ’ ที่รัฐบาลหรือสภาเวทมนตร์รับรองจึงจะใช้เวทอันตรายได้
ไม่ก็พวก ‘จอมเวทนอกรีต’ หรืออาชญากร
ฟีโดราในอาภรณ์ชุดคลุมดำแบบมีฮูทคลุมศีรษะเคลื่อนไหวไปตามแมกไม้อย่างแช่มช้าไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า
เจ้าของเรือนสีเงินหยิบกล้องส่องทางไกลดิจิตอลขึ้นมา
นัยน์ตาสองสีมองผ่านสโคปลงไปเบื้องล่างหลายสิบเมตร เห็นขบวนรถสามคันแล่นผ่านซุ้มประตูเหล็กทางเข้าหลักเข้าไปในท่าเรือ
ยานพาหนะเหล่านั้นแล่นเข้าไปจอดในโกดังเก็บสินค้าของท่าเรือเก่าซึ่งแต่เดิมเคยใช้ขนสินค้า
เจ้าของเรือนสีเงินเห็นกองกำลังติดอาวุธมนตรายืนเฝ้าทางเข้าจำนวนหนึ่ง กล้องวงจรปิดรอบตู้กำแพงสี่จุด นอกจากนี้ยังมีกับดักมนตราอีกสามตำแหน่งด้านใน
ชายนัยน์ตาสองสีคาดการณ์ว่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นฐานที่มั่นชั่วคราว เพราะระบบป้องกันภัยโดยรอบเหมือนถูกสร้างไว้อย่างลวกๆ เวรยามก็มีเฝ้าอยู่ไม่มากนัก
ฟีโดราเก็บกล้องดิจิตอล เปิดกระเป๋าบรรจุศาสตราเวทแห่งสงคราม
สิ่งที่ถูกหยิบออกมาคือ ปลอกแขนสีรัตติกาล ตกแต่งลวดลายสีทองอันวิจิตร ประดับด้วยหลอดบรรจุพลังงานใส่คริสตัลสีเงินแวววาวขึ้นมาสวมตรงแขนทั้งสองข้าง
เจ้าของเรือนเงินหยิบอาวุธมนตราอีกประเภทออกจากซองเก็บยุทโธปกรณ์
เป็นศาสตราเวทสำหรับการสังหารระยะไกลสีดำทมิฬ ประดับด้วยคริสตัลสีเงินเป็นแหล่งบรรจุพลังงานเวทมนตร์
ศาสตราเวทหรือ Magic Conductor เป็นอุปกรณ์เหนี่ยวนำพลังเวท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคริสตัลมนตรา
ปากกระบอกปืนถูกหันไปทางเป้าหมายเบื้องล่าง กางอาณาเขตข้อมูลพลังงานมนตรา
“Calamity” เพียงเอ่ยวลีแห่งการความวินาศ
คริสตัลเวทมนตร์บนปลอกแขนทำงานประสานกับผลึกเวทในแหล่งบรรจุพลังงานบนยุทธภัณฑ์สำหรับการสังหาร
อาณาเขตข้อมูลพลังมนตราถูกกางออกรอบบริเวณ
อาณาเขตข้อมูลพลังมนตรา เป็นเครือข่ายข้อมูลพลังเวทของจอมเวทแต่ละคน เกิดจากอนุภาคเวทมนตร์ที่รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มก้อนข้อมูล ผู้ใช้เวทมนตร์แต่ละคนใช้มันในการควบคุมอนุภาคเวทมนตร์ให้เคลื่อนที่ไปตามทิศทางต่างๆ ภายในขอบเขตรัศมีพลังงาน
คลื่นพลังงานมนตราไร้สีพุ่งจากปากกระบอกปืนตรงใส่เป้าหมาย
โครงสร้างกับดักมนตราทุกประเภทแปรเปลี่ยนเป็นผลึกสีดำ
อุปกรณ์ตรวจจับทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างพังทลาย
คริสตัลมนตราสีเงินเสื่อมสภาพกลายเป็นสีดำดีดออกจากแหล่งบรรจุพลังงาน
ยิ่งวัตถุสิ่งของใดก็ตามมีโครงสร้างซับซ้อนมากจำเป็นต้องใช้พลังเวทสูง
บุรุษเนตรสองสีหยิบคริสตัลมนตราสำรองขึ้นมาใส่ไว้ในช่องบรรจุพลังเวท
นี่เป็นเวทอัตลักษณ์ของเขา Calamity เป็นพลังเวทที่ช่วยเร่งการเสื่อมสลายของวัตถุ แม้จะไม่ส่งผลทางกายภาพต่อสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตาม
นอกจากนี้ Calamity ยังเป็นพลังเวทสิ้นเปลือง เพราะต้องใช้อาวุธมนตราถึงสองอย่างในการทำงานประสานกัน จึงทำให้ผลึกมนตราเสื่อมสภาพเร็ว
แต่จากการฝึกฝนมานานหลายปี ทำให้เจ้าของนัยน์ตาสองสีเรียนรู้พลังเวทอันเป็นเอกลักษณ์นี้ มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการโจมตีด้วยมนตราประเภทอื่นๆ ในการเผชิญหน้ากับศัตรูในสมรภูมิ
ไม่มีเวทมนตร์ใดไร้ประโยชน์ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการใช้งาน การวางแผนอันเหมาะสม
มนตราอัตลักษณ์คือ เวทมนตร์พิเศษที่พัฒนามาจากเวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งถูกส่งผ่านมาทางพันธุกรรม การจะใช้ได้นั้นจำเป็นต้องใช้สื่อกลางเหมือนพลังเวทอื่นๆ
จอมเวททุกคนจะมีพลังอันเป็นเอกลักษณ์เพียงอย่างเดียว
ฟีโดราเริ่มร่ายมนตราอีกครั้ง อาณาเขตข้อมูลพลังงานมนตราถูกกางออก
ศาสตราเวทหันไปทางเป้าหมายเบื้องล่าง
กำหนดทิศทางเป็นอาวุธมนตราฝ่ายศัตรู
“Calamity” ถ้อยคำแห่งความวินาศเปล่งเสียงขึ้น
คลื่นพลังงานไร้สีถูกส่งไปยังอาวุธเวทมนตร์ในมือศัตรู
เพียงพริบตาศาสตราเวททั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นโครงโลหะผสมอัลลอย
คริสตัลมนตราในหลอดบรรจุพลังเวทแตกกระจายกลายเป็นสีดำ
วิทยุสื่อถูกปรับสภาพเหลือเพียงแผงวงจร ตัวจ่ายกระแสไฟฟ้าหลุดออกมา
เนตรสองสีชำเลืองมองความสับสนเบื้องล่าง หลังใช้มนตราอัตลักษณ์เสร็จ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกำจัดศัตรู
ฟีโดรากระชับศาสตราเวทในมือขึ้นเล็งประทับ ปรับโหมดเข้าสู่อาวุธมนตราธรรมดา
คลื่นอนุภาคสีดำพุ่งจากลำกล้องปืน
ลำแสงมรณะซัดร่างของชายฉกรรจ์ทั้งสี่ปลิดปลิว
คริสตัลเวทมนตร์เปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีดำดีดออกจากแหล่งบรรจุพลังงาน
ฟีโดราหยิบผลึกมนตราอันใหม่ใส่เข้าไปแทนที่ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปตามแมกไม้ลงจากเนินเขา
สอดส่ายสายตาระแวดระวังสำรวจอาณาบริเวณ ศาสตราเวทในมือหันไปทุกทิศทาง
เมื่อตรวจดูโดยรอบแล้วไม่พบร่องรอยของศัตรูเหลืออยู่ บุรุษเนตรสองสีจึงเคลื่อนตัวเข้าไปด้านในท่าเรือ
“นี่มันหมายความว่ายังไงเจ้าพวกโง่” เสียงอันเกรี้ยวกราดตวาดดังขึ้นจากออฟฟิศชั้นสองของโกดังเก็บสินค้า
เจ้าของเสียงเป็นชายใส่หน้ากากป้องกันสารเคมี แม้เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นมีสีน้ำตาล ร่างกายสูงใหญ่ในชุดป้องกันรังสี
โดรู โปเปสคู(35 ปี) สมาชิกระดับแกนนำคนหนึ่งขององค์กรลึกลับแห่งหนึ่ง
“ขอโทษด้วยครับคุณโดรู แต่เราเอาตัวเด็กสองคนนั้นมาได้แล้วนะครับ” ลูกน้องคนหนึ่งแสดงคำขอโทษด้วยท่าทางตื่นตระหนก
“ไอ้พวกโง่ บอสของเราต้องการตัวนังเด็กสองคนนั่นในสภาพสมบูรณ์ที่สุดนะ บาดเจ็บแบบนี้คนที่จะซวยมันคือฉันรู้ไหม”
“แต่ว่าตอนนั้นเราต้องปะทะกับบอดี้การ์ดของนังเด็กนั่นนะครับ”
“พอได้แล้ว ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวงี่เง่าของพวกแก ใสหัวไปซะ” สิ้นเสียงตระโกนของชายในชุดป้องกันรังสี ลูกน้องคนนั้นก็เปิดประตูเดินออกไปจากห้อง
สักพักโดรูก็รับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากของบางสิ่งในกระเป๋า
เขาหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมารับสาย
“ไงโดรู” ปลายสายส่งเสียงทักทาย
“สวัสดีครับบอส นึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะติดต่อมาหาผมโดยตรงแบบนี้” ชายใส่หน้ากากกันสารเคมีทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสุภาพ ผิดจากการแสดงออกกับลูกน้องเมื่อสักครู่
“ได้ตัวนังเด็กสองคนนั่นมาแล้วสินะ” เสียงของผู้บงการเอ่ยถามเรื่องเด็กสาวทั้งสอง
“ได้มาแล้วครับ” โดรูรายงานด้วยความยำเกรง
“สภาพสมบูรณ์ไหม?”
“ก็สมบูรณ์ดีครับ”
“ยูเรก้า นับว่าเป็นข่าวดีจริง เตรียมของไว้ให้ดีล่ะ” เสียงจากปลายสายฟังดูปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินข่าว
“ทราบแล้วครับ จะเตรียมให้เดี๋ยวนี้” สิ้นสุดการสนทนา โดรูก็ปิดสมาร์ทโฟน
ไม่นานเสียงเรียกจากอุปกรณ์สื่อสารก็ดังขึ้น
“คุณโดรูครับ ตอนนี้กล้องวงจรปิดและกับดักเวทของเราไม่รู้โดนใครทำลาย”
“ว่าไงนะเจ้านั่นมันเป็นใครกัน”
“เรายังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่คนของเราโดนมันสังหารไปหลายคนแล้ว”
“ไอ้พวกโง่เอ๊ยรีบๆ หาตัวมันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ ไม่อย่างนั้นพวกแกได้เป็นศพแทนมัน”
สายตาของโดรูก้มลงมองปลอกแขนสีเขียวเข้มบรรจุคริสตัลมนตราสีเงินของตน
ลานกว้างซึ่งมีตู้คอนเทนเนอร์ตั้งเรียงรายอยู่จำนวนหนึ่ง
ฟีโดรายกแขนแนบอกเตรียมศาสตราเวทยืนพิงตู้คอนเทนเนอร์สีแดง
สายตาชำเลืองมองเหล่าศัตรูจำนวนหนึ่งเคลื่อนตัวออกจากหน้าทางเข้า-ออกคลังเก็บสินค้าด้านใน
เขาเห็นอีกฝ่ายแบ่งกองกำลังเป็นสามส่วน กลุ่มละสองคน
บุรุษผมเงินคิดหาวิธีกำจัดศัตรูทั้งหมดโดยใช้พลังเวทให้น้อยที่สุด เพราะเหลือผลึกมนตราก้อนสุดท้าย
มีศัตรูกลุ่มหนึ่งเดินมาทางตู้คอนเทนเนอร์
เจ้าของนัยน์ตาสองสียกมือข้างหนึ่งขึ้นเคาะผนัง
ชายในชุดน้ำตาลเกิดสงสัยจึงแยกตัวออกจากกลุ่ม เดินถืออาวุธมนตราตามหาต้นเสียง
จังหวะนั้นใบมีดคมกริบตวัดแทงลงเข้าที่ลำคอจากด้านหลัง
ก่อนชายคนนั้นจะล้มลงสิ้นใจ เจ้าของนัยน์ตาสองสีก็ลากร่างไร้วิญญาณไปซ่อนหลังตู้คอนเทนเนอร์สีแดง
ถึงฟีโดราจะได้ชื่อว่าเป็นจอมเวทของทางการแห่งกองกำลังพิเศษ SPEAR แต่เขาก็ได้รับการฝึกฝนให้ใช้อาวุธอื่นนอกจากศาสตราเวทมนตร์จนชำนาญ ซึ่งหนึ่งในศาสตร์นั้นคือการลอบสังหารระยะประชิด
บุรุษเนตรสองสีเคลื่อนตัวไปหลบหลังตู้คอนเทนเนอร์อีกด้าน
ชำเลืองมองชายใส่เสื้อเชิ้ตน้ำตาลถือศาสตราเวทกำลังเดินไปมาเพียงลำพัง
หินก้อนหนึ่งถูกโยนออกไป มันกลิ้งกระทบพื้น ดึงความสนใจชายใส่เสื้อเชิ้ตหันไปมอง
ชายผมเงินอาศัยจังหวะนี้ เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วไร้เสียงฝีเท้า
ใบมีดเฉือนหลอดลมอีกฝ่ายจากข้างหลัง มือข้างหนึ่งปิดปากไม่ให้เสียงใดเอ่ยออกมา
ฟีโดราลากร่างแน่นิ่งไปซ่อนไว้หลังตู้คอนเทนเนอร์สีส้มเปล่า
เจ้าของเรือนเงินในชุดคลุมดำชำเลืองมองออกไปข้างนอก เห็นศัตรูเหลืออีกสองกลุ่ม
บุรุษเนตรสองสีปีนขึ้นไปบนตู้คอนเทนเนอร์ เดินเลาะไปอีกด้านไปอย่างเงียบเชียบ
สายตาเพ่งมองชายถืออาวุธมนตราสองคนยืนอยู่เบื้องล่างดั่งอินทรีล่าเหยื่อ
เจ้าของเรือนเงินถือมีดไว้ในมือทั้งสองข้าง
เขาโดดลงไปตวัดมีดแทงเข้าหลังลำคอชายคนหนึ่งโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
ก่อนชายอีกคนจะหันมา ใบมีดก็ถูกปาไปปักบนศีรษะล้มลง อาวุธในมือร่วงหล่น
เจ้าของเนตรสองสีกระชับศาสตราเวทในมือขึ้นเล็งประทับ หันไปมองศัตรูอีกสองคนวิ่งตรงมาพร้อมเหนี่ยวไก
ลำแสงสังหารพุ่งจากลำกล้องปืน ร่างของชายสองคนปลิดปลิว
หลังสังหารศัตรู ฟีโดรายกศาสตราเวทในมือขึ้นแนบอก
บุรุษเรือนเงินกวาดสายตาพร้อมหันลำกล้องปืนไปทุกทิศทางให้แน่ใจว่าไม่มีใครเหลือรอดแล้ว
เจ้าของเนตรสองสีจึงเคลื่อนตัวเข้าไปในโกดังสินค้าแบบไร้เสียง
ฟีโดราย่างเท้าไปตามทางเดินแบบเงียบเชียบ โดยใช้มุมเสาเป็นที่กำบังกาย
“ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวไปหรอกไอ้หนูสกปรก” เสียงนั้นดังมาจากสุดปลายทางเดิน
คำพูดนั้นเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาแห่งการเผชิญหน้ามาไวกว่าที่คาด
บุรุษเนตรสองสีชำเลืองมองไปหาศัตรูผู้ไม่คิดซ่อนตัว
อีกฝ่ายเป็นชายใส่หน้ากากกันสารเคมี แม้เห็นใบหน้าไม่ชัดแต่ดวงตาคู่นั้นสีน้ำตาล ร่างกายสูงโปร่งในชุดป้องกันรังสี จากลักษณะภายนอกดูเหมือนนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเคมีมากกว่าทหารรับจ้างหรือผู้ชำนาญด้านการสู้รบ
โดรู โปเปสคู หัวหน้ากลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่เขาตามล่าตัวอยู่
“ยังจะซ่อนตัวอยู่อีกเหรอ ฉันรู้นะว่าแกอยู่ตรงนั้น” ชายในชุดป้องกันรังสีตะโกนก้อง
เขายกปลอกแขนสีเขียวเข้มข้างซ้ายขึ้น
“Death Smoke” สิ้นคำผลึกมนตราสีเงินส่องประกาย อาณาเขตข้อมูลมนตราถูกกางออก
กลุ่มควันสีขาวก่อตัวขึ้นโดยรอบ
มันถูกดึงให้ไปรวมตัวกันโดยมีชายใส่หน้ากากกันแก๊สเป็นศูนย์กลาง
ควันเหล่านั้นล้อมรอบตัวชายในชุดป้องกันสารเคมี
ทันใดนั้นเองมันก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว
ประสาทสัมผัสของฟีโดรารับรู้ถึงกลิ่นอันตรายจากควันพวกนี้
กลิ่นนั้นมันเหมือนสารไซโคลน บี ยาฆ่าแมลงที่มีส่วนผสมของไซยาไนด์
เพียงมองปราดเดียวบุรุษเนตรสองสีก็เข้าใจแล้วว่ามนตราอัตลักษณ์ของอีกฝ่ายคือการสร้างและควบคุมควันพิษ สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือหาทางคำนวณขอบเขตการใช้งานของพลังเวทฝ่ายศัตรู
เจ้าของเรือนเงินจึงตัดสินใจเคลื่อนตัวออกจากโกดังเก็บสินค้าเพื่อหาวิธีรับมือ
ดวงตาสีน้ำตาลของโดรูเห็นชายในชุดคลุมดำแบบมีฮูทวิ่งออกไปจากโกดัง
‘คิดจะหนีงั้นเหรอไอ้หนูสกปรก จงรู้ไว้ซะไม่มีใครหนีจากพลังเวทของฉันได้’ ชายในชุดป้องกันรังสีแสยะยิ้มคลุ้มคลั่งจนสีหน้าบิดเบี้ยว เขารู้สึกหลงลำพองใจในพลังอำนาจของตน
โดรูยกมือขึ้นสั่งการให้กลุ่มควันมรณะไล่ตามเป้าหมายไป
ทว่าอีกฝ่ายกลับหนีรอดออกไปได้ ก่อนควันเหล่านั้นจะถึงตัว
ชายสวมหน้ากากป้องกันสารเคมีเดินตามเป้าหมายของเขาไป โดยมีกลุ่มควันล้อมรอบตัว
ฟีโดราซ่อนตัวอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์สีน้ำเงิน
ตอนนี้บุรุษเรือนผมเงินเข้าใจขอบเขตการทำงานเวทอัตลักษณ์ของศัตรูแล้ว
พลังเวทของอีกฝ่ายถูกจัดเป็นธาตุมืด ประเภทโจมตีใส่ตัวบุคคล รัศมีการทำงานเป็นวงกว้าง ควบคุมระยะได้ตั้งแต่ใกล้ถึงกลาง
บัดนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องจัดการกับเป้าหมาย
เนตรสองสีชำเลืองมองไปยังศัตรูผู้พึ่งออกมาจากโกดังเก็บสินค้า
ร่างของอีกฝ่ายถูกปกคลุมด้วยควันพิษ ทว่านั่นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเขา
“Calamity” บุรุษเรือนผมเงินเอ่ยวลีแห่งความวินาศ อาณาเขตข้อมูลพลังมนตราถูกกางออก
ศาสตราเวทในมือยกขึ้นเล็งประทับ
ลำแสงไร้สีพุ่งจากลำกล้องปืน เป้าหมายของมันคือศาสตราเวทฝ่ายศัตรู
“บ้าน่า...นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น” เสียงร้องตระโกนของโดรูดังขึ้น ศาสตราเวทในมือพังทลาย ปลอกแขนที่เคยสวมถูกแยกชิ้นส่วน ผลึกมนตราในแหล่งบรรจุพลังงานถูกแยกองค์ประกอบก่อนแตกกระจาย
ชายในชุดป้องกันรังสีหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เห็นชายในชุดคลุมดำแบบมีฮูทปรากฏตัวออกมาจากหลังตู้คอนเทนเนอร์
ไม่หลงเหลือท่าทีหยิ่งผยองอย่างเดิมเหลืออยู่อีกเลย
เหลือเพียงสีหน้าของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงไร้น้ำยา ยามสิ้นศาสตราเวท ไร้ซึ่งอำนาจสั่งการ ร่างกายแข็งค้างด้วยความกลัวตามสัญชาติญาณ
ฟีโดราปรับเปลี่ยนศาสตราเวทในมือกลับเข้าสู่โหมดการใช้งานธรรมดา
ลำแสงสีดำพุ่งทะลุศีรษะของศัตรู แม่สีสาดกระเซ็น ก่อนร่างนั้นจะล้มลงสิ้นใจ
หลังสังหารหัวหน้าของศัตรู กำจัดเหล่าลูกน้องจนหมดสิ้น ฟีโดราจึงเก็บศาสตราเวทเข้าซองบรรจุยุทธภัณฑ์
เจ้าของเรือนผมเงินก้มลงหยิบคีย์การ์ดจากในกระเป๋ากางเกงของร่างแน่นิ่ง
ชายนัยน์ตาสองสีย่างเท้าเข้าไปในโกดังเก็บสินค้า
สุดปลายทางเดินฟีโดราหยุดอยู่หน้าห้องเก็บสินค้า
เจ้าของเรือนผมเงินหยิบคีย์การ์ดตวัดผ่านเครื่องสแกน
ประตูถูกเปิดออก บุรุษเนตรสองสีมองเข้าไปข้างใน
เขาเห็นร่างของสาวน้อยทั้งสองนอนหมดสติอยู่บนเตียงคู่กัน
เป็นเด็กสาวผมยาวสีไพลินสุกสกาวกว่าแซฟไฟร์ในอาภรณ์สีน้ำเงินลายลูกไม้กระโปรงระบาย
อีกคนเป็นเด็กสาวเรือนผมยาวสีทองเจิดจ้าในอาภรณ์สีขาวเปิดไหล่ลายลูกไม้กระโปรงยาว
ทั้งสองใบหน้าละม้ายคล้ายกันจนดูเหมือนฝาแฝด
ศีรษะและแขนของพวกเธอถูกพันด้วยผ้าขาว
แม้จะบาดเจ็บแต่เมื่อเห็นพวกเธอยังมีชีวิตและปลอดภัยชายนัยน์ตาสองสีก็รู้สึกโล่งอก
สิ่งที่ชายหนุ่มสงสัยอยู่ก็คือพวกมันต้องการตัวพวกเธอไปทำไม
“เจอตัวเด็กแล้ว” ฟีโดราหันหลังกลับยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาติดต่อหาพรรคพวกรายงานเรื่องภารกิจ
“พวกเธอปลอดภัยไหม” ปลายสายเอ่ยถาม
“พวกเธอบาดเจ็บ ส่งทีมแพทย์มาด้วย”
“เข้าใจแล้วทำได้ดีมาก” สิ้นสุดการสนทนา ฟีโดราก็เก็บอุปกรณ์สื่อสาร
ตอนนี้บุรุษเนตรสองสีเหลือเพียงรอให้พรรคพวกส่งทีมแพทย์ฉุกเฉินมารับตัวสาวน้อยทั้งสอง
ความมืดยามราตรีปกคลุมท้องฟ้า บนเรือยอร์ชสีขาวลำเล็กลอยอยู่กลางท้องทะเล ปรากฏเงาร่างของบุคคลผู้หนึ่งเอนกายบนโซฟา
ชายคนนั้นกำลังรอฟังข่าวดีจากลูกน้อง
“บอสครับ คนของเราบอกว่าเจ้าโดรูโดนสังหาร” ชายในชุดสูทน้ำตาลคนหนึ่งเดินมารายงาน
“แล้วเด็กล่ะ?” ชายผู้นั้นไม่ได้สนใจเรื่องการตายของลูกน้องเลยแม้แต่น้อย
“โดนพวกมันพาตัวไปแล้วครับ”
“พวกมันเป็นใคร?”
“ตอนนี้เรายังไม่แน่ใจเหมือนกันครับบอส”
“งั้นรึ สืบหาพวกมันให้เจอแล้วจัดการมันซะแล้วก็หาตัวเด็กสองคนนั้นให้เจอด้วย” ในความมืดยามราตรี ใบหน้าแห่งผู้บงการแสยะยิ้มชั่วร้าย