รายละเอียด
เมื่อเราพลิกดูหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ตลอดเวลาที่ผ่านมามนุษย์ต้องดิ้นรนต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด เมื่อมนุษย์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นแต่กลับมีทรัพยากรธรรมชาติอันจำกัดไม่เพียงพอต่อความต้องการ ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เมื่อเกิดความขาดแคลนต่อมาจึงเกิดการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์ในยุคสมัยนั้นยังมีสติปัญญาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นและไม่สามารถคิดหาวิธีแก้ไขด้วยสันติได้ ซึ่งท้ายที่สุดการแย่งชิงได้นำไปสู่การใช้ความรุนแรงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ความรุนแรงจึงเป็นเรื่องปกติสามัญที่อยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอดตั้งแต่อดีต เมื่อระยะเวลาผ่านไปมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการมีสติปัญญาที่ซับซ้อนและฉลาดมากขึ้นมีการรวมตัวเป็นกลุ่มง่ายๆ จนพัฒนากลายเป็นสังคมขนาดใหญ่ เมื่อมนุษย์รวมกลุ่มกันมากๆ ก็จะมีอำนาจต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดได้มากขึ้น ไม่ว่าจะล่าสัตว์ป่าเพื่อเป็นอาหาร หรือขับไล่มนุษย์กลุ่มอื่นเพื่อแย่งชิงอาณาเขตที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ และท้ายที่สุดความรุนแรงก็พัฒนามาเป็นสงครามการใช้กำลังของมนุษย์ที่มีคนจำนวนมากต่อสู้ฆ่าฟันกัน
จากสงครามแย่งชิงเพื่อความอยู่รอดก็มีวิวัฒนาการตามสติปัญญาที่ซับซ้อนของมนุษย์ สงครามได้กลายเป็นเครื่องมือที่สามารถบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามความต้องการของตน กำลังรบในสงครามที่เหนือกว่าแสดงถึงแสนยานุภาพทางทหารแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถกำหนดหรือบังคับให้ผู้อื่นกระทำตามความต้องการของตนเอง แม้ว่าผู้อื่นจะไม่เต็มใจก็ตาม สิ่งเหล่านี้คืออำนาจที่จะบันดาลชื่อเสียง เกียรติยศ และสนองความต้องการอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
บุคคลสำคัญที่ถูกกล่าวถึงในตำนานหรือประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับสงครามที่กล่าวถึงนักรบที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่ต่อสู้เพื่อรวบรวมชาติ ต่อต้านอริราชศัตรู เกียรติยศของกษัตริย์ หรือผู้เป็นประมุขของชาติ ที่ทำสงรามต่อสู้เพื่อแผ่ขยายอำนาจ จนมนุษย์ส่วนใหญ่มองว่า สงครามคือหนทางไปสู่เกียรติยศ เมื่อมีอำนาจก็สามารถกระทำได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งชี้นิ้วสั่งให้คนที่ตนเกลียดชังตกตายไป โดยตนไม่ต้องแบกรับความผิด ทั้งการฆ่าฟันคนต่างกลุ่มก๊ก การล่ากลุ่มคนที่มีความเชื่อแตกต่างกันจนแปรเปลี่ยนให้เป็นไฟสงครามเพื่อย่ำยีชาติอื่นๆ